ประวัติหลวงพ่ออำคา
อินทสาโร วัดบ้านตำแย ตำบลไร่น้อย อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
บทเริ่มต้น
ชื่อเดิมนายอำคา พันธ์ปา
เกิดอยู่ที่บ้านสร้อย ต.พะลาน อ.ตระการ
จ.อุบลราชธานี ย้อนไปเมื่อท่านอายุประมาณ ๑๒
ปี ได้บวชเป็นสามเณร เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒
หรือ พ.ศ. ๒๔๙๓ โดยประมาณจำได้ไม่แน่นัก ตอนที่ท่านบวชเป็นสามเณรได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านเกิด ในระหว่างที่บวชเป็นสามเณรได้ศึกษาปฏิบัติธรรมและปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด จากนั้นได้ออกธุดงค์ไปในหลายๆจังหวัดเช่นจังหวัดอุดรธานี หนองคาย และจังหวัดอื่นๆ จนพอเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘
จึงได้บวชเป็นพระ
โดยมีพระครูสันทาน พรมเขต เป็นพระอุปชา ได้รับฉายาว่า “ อินทสาโร ”
เมื่อบวชแล้วจึงได้จำวัดอยู่ที่วัดโพธิ์ไทร บ้านนาคำกลาง ต.นางัว(ในปัจจุบัน) อ.นาหว้า
จ.นครพนม หลวงพ่อบวชมาแล้ว ๖๑
พรรษา ปัจจุบันอายุได้ ๘๑
ปี ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านตำแย และเป็นเจ้าคณะตำบลไร่น้อย อำเภอเมือง
จังหวัดอุบลราชธานี
จากนครพนมสู่วัดบ้านตำแย
เมื่อ พ.ศ.
๒๕๐๖
หลวงพ่อได้เดินทางมาเพื่อศึกษาพระธรรมที่จังหวัดอุบลราชธานี จึงได้มาอาศัยอยู่ที่วัดบ้านตำแยและได้ศึกษาพระธรรมะจนสำเร็จเป็นนักธรรมเอก
วัดบ้านตำแยตอนที่หลวงพ่อมาอยู่อาศัยครั้งแรกๆนั้นวัดมีเนื้อที่ประมาณ ๒
ไร่อยู่ทางด้านทิศตะวันออก
มีพระ เณรยังไม่มาก
และที่วัดบ้านตำแยแห่งนี้ยังมีพระเณรจากจังหวัดอื่นที่มาศึกษาธรรมะก็จะมาพักอาศัยอยู่ที่วัดแห่งนี้ สาเหตุที่พระเณรมาพักอยู่ที่วัดบ้านตำแยมากก็เนื่องด้วยสมัยโน้นวัดมีไม่มากและการบิณฑบาตก็ได้อาหารไม่มาก เจ้าอาวาสวัดอื่นๆจึงไม่ค่อยจะอนุญาตให้พระมาอาศัยอยู่ที่วัด เนื่องจากอัตคัดเรื่องดังกล่าว แต่ที่วัดบ้านตำแยหลวงพ่อท่านเมตตาต่อพระ เณรที่มาขอพักอาศัยอยู่เสมอ ตอนที่ท่านมาจำวัดอยู่ที่วัดบ้านตำแยก็มีสิม ( โบสถ์ )โบราณอยู่แล้ว สิม( โบสถ์ )เดิมมีสภาพทรุดโทรมมาก จนพระและชาวบ้านเคยมีแนวคิดว่าจะรื้อออกที่สุดก็ไม่ได้ทำ ภายหลังทางราชการได้มาสำรวจโดยกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้มาทำการสำรวจและได้ขึ้นทะเบียนสิม( โบสถ์ )โบราณวัดบ้านตำแยเป็นโบราณสถาน จากการตรวจสอบทางราชการปรากฏว่าสิม( โบสถ์
)โบราณบ้านตำแย มีอายุกว่า ๑๔๐
ปี นับแต่สร้างเสร็จในปี พ.ศ.
๒๔๑๗
โดยทางกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนในปี
พ.ศ. ๒๕๔๕ (รายละเอียดเรื่อง สิม( โบสถ์ )โบราณ
นั้นข้าพเจ้าจะแยกเขียนเป็นเรื่องอีกต่างหาก) เท่าที่ท่านจำได้ท่านเล่าว่าสภาพวัดบ้านตำแยเดิมมีสภาพเป็นป่าดงแค่เดินออกไปหน้าวัดในปัจจุบันก็เป็นป่าช้า
บริเวณที่ตั้งวัดก็เป็นที่ดินที่ชาวบ้านเรียกว่าดอนเจ้าปู่มีสภาพเป็นป่ารกทึบพื้นดินมีสภาพเป็นหลุมบ่อมากมาย หลวงพ่อ
พระเณรและชาวบ้านจึงร่วมกันขนดินมาเทปรับปรุงจนราบเรียบและสามารถปลูกสร้างศาลาการเปรียญ
โบสถ์
และกุฏิวัดได้
ย้อนไปในสมัยที่ท่านมาอยู่ใหม่ๆถนนที่เชื่อมระหว่างโรงเรียนวัดบ้านก้านเหลืองกับบ้านตำแยนั้นไม่มีมีแต่ป่าดง หลวงพ่อ
พระ เณรกับชาวบ้านได้ช่วยกันตัดต้นไม้แผ้วถางจนมีสภาพเป็นถนนพอเดินได้มีลักษณะเป็นทางเกวียน กลุ่มชาวบ้านที่มาร่วมตัดถนนนำโดยผู้ใหญ่บ้านจันทร์ รัตนกุล
ในยุคนั้นเป็นผู้นำฝ่ายชาวบ้าน
บริเวณวัดและบ้านเรือนมีสภาพเป็นป่ารกมากมีบ้านเรือนประชาชนปลูกอาศัยอยู่ประมาณ ๑๐
หลังคาเรือน
ต้นไม้ใหญ่ๆในวัดที่เห็นในปัจจุบันเป็นต้นไม้โบราณอายุกว่า ๑๐๐
ปี ก็มีมาก ในปี
๒๕๔๔ จึงได้สร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ที่เห็นในปัจจุบันแทนหลังเดิมที่สร้างด้วยไม้มีและมีสภาพทรุดโทรมอย่างมาก เป็นอาคารปูนหลังใหญ่เพื่อใช้เป็นอาคารประกอบกิจกรรมทางศาสนา ปัจจุบันยังคงสร้างยังไม่แล้วเสร็จ เพราะขาดปัจจัยในการนำมาก่อสร้าง
ในด้านการเผยแผ่พระศาสนา
ภายหลังที่หลวงพ่อมาจำวัดที่วัดบ้านตำแยแล้วได้ศึกษาพระธรรมด้วยความตั้งอกตั้งใจเป็นยิ่งจนสามารถสำเร็จนักธรรมชั้นเอกได้ หลวงพ่อท่านอธิบายว่า นักธรรมเอกเป็นระดับการศึกษาพุทธศาสนาในประเทศไทย
แผนกธรรม โดยเป็นชั้นสูงสุดของการศึกษาระดับพื้นฐานของพระสงฆ์ สามเณรในประเทศไทย
แบ่งชั้นเรียนออกเป็น 3 ชั้น คือ นักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท และ นักธรรมชั้นเอก
ทั้ง ๓ ชั้นนี้เป็นการศึกษาสำหรับฝ่าย พระภิกษุสามเณรโดยเฉพาะ วิชาที่ใช้ในการสอบ วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม วิชานี้กำหนดให้ผู้เรียนเขียนอธิบายพุทธศาสนสุภาษิตตามภูมิความรู้ วิชาธรรมวิจารณ์ วิชาพุทธานุพุทธประวัติ วิชาวินัยมุขและพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ( ส่วนรายละเอียดจะเป็นประการใดคงต้องศึกษากับท่านเอง) และมีความรู้ความสามารถในการสอนพระธรรมให้กับพระ เณร
ที่มาศึกษาพระธรรมกับหลวงพ่อได้เป็นอย่างดี หลวงพ่อท่านเล่าเดิมทีท่านก็ต้องการบวชพระก็เพื่อเรียนจบสามารถสอบเป็นราชการได้
และต้องการไปสอบเป็นตำรวจกับเพื่อนแต่เมื่อได้เรียนธรรมะกับครูบาอาจารย์จนสำเร็จนักธรรมเอก เพื่อนของท่านได้มาชวนให้ไปสอบเป็นนายไปรษณีย์ท่านตั้งใจว่าจะไปสอบ แต่อย่างไรก็ตามที่สุดท่านก็ไม่ได้ไปและท่านเองก็คิดว่าเมื่อเรียนจนสำเร็จเป็นนักธรรมเอกแล้วก็เลยไม่อยากสึกออกไปจากการเป็นพระ ท่านจึงถือครองเพศสมณะจนถึงปัจจุบัน หลวงพ่อท่านได้ถูกนิมนต์ให้ไปเป็นครูสอนธรรมะให้กับพระเณร เพื่อไปสอบเป็นนักธรรมตรี โท
เอก ท่านไปสอนอยู่ที่วัดโพธิ์ไทร ต.นางัว
อ.นาหว้า จ.นครพนม ตอนที่ท่านไปเป็นครูสอนนั้นปรากฏว่ามีพระ เณร
ที่มาเรียนธรรมะกับท่านเพื่อไปสอบเป็นนักธรรมในระดับชั้นต่างๆกับท่านสามารถสอบเป็นนักธรรมในระดับชั้นตรี โท
เอก ได้รวมกว่า ๑๐๐
รูป
บางรุ่นสามารถสอบนักธรรมตรี
โท เอก แบบยกรุ่นก็มีจนมีชื่อเสียงเป็นยิ่ง เมื่อท่านกลับมาอยู่ที่วัดบ้านตำแย ต.ไร่น้อย
อ.เมือง จ.อุบลราชธานี จึงได้มีลูกศิษย์คือพระ เณร
ได้มาเรียนพระธรรมะกับท่านอยู่จำนวนมากและมาจำวัดอยู่ที่วัดบ้านตำแยนี้เอง ท่านได้อาศัยแรงกายของพระ เณร
ที่เป็นพระลูกวัดกับชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นกำลังหลักในการช่วยกันพัฒนาวัดบ้านตำแย จนมีสภาพเป็นปัจจุบัน แต่เนื่องด้วยท่านประสงค์อนุรักษ์ต้นไม้และสภาพธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด ปัจจุบันวัดบ้านตำแยจึงยังคงมีสภาพร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่จำนวนมาก บางต้นมีขนาดใหญ่หลายคนโอบอายุไม่ต่ำกว่า ๑๐๐
ปี มีจำนวนหลายต้น และเป็นที่อยู่อาศัยของกิ้งก่าขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่า
ตัวอีกัวน่า
อยู่อาศัยเป็นจำนวนมากและเริ่มเชื่องกับคนที่มาวัด บางตัวใหญ่น้องๆแขนผู้ใหญ่เลยทีเดียว
ในปี พ.ศ.
๒๕๑๘ วัดบ้านตำแยได้สร้างโบสถ์แบบอาคารก่ออิฐถือปูนเป็นศิลปะแบบภาคกลาง หน้าบรรณปั้นเป็นรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณ ส่วนด้านหลังปั้นเป็นรูปของพระราม พระลักษณ์
และนางสีดาซึ่งมาจากเรื่องรามเกียรติ
ลักษณะรอยประดิษฐ์ตามประตู
หน้าต่าง เป็นศิลปะแบบภาคกลาง เป็นรูปปั้นที่อ่อนช้อยงดงามยิ่ง ลายเส้นคมชัด การแกะสลักไม้ลายเส้นก็คมชัดงดงามมาก งานติดกระจกก็วิจิตรยิ่งนัก ขนาดว่าปัจจุบันนี้โบสถ์ดูเสื่อมโทรมมากตามกาลก็ตามแต่ร่องรอยความวิจิตรนั้นยังคมชัด สะท้อนถึงความมีฝีมือในเชิงช่างของผู้สร้าง หลวงพ่อท่านเล่าว่าคนที่ปั้นรูปปูนปั้นชื่อว่าช่างสมัย จันทร์วิจิตร ซึ่งคุณพ่อของนายช่างวิจิตร ก็เป็นผู้ปั้นรูปปั้นที่วัดพระธาตุหนองบัว อ.เมือง
จ.อุบลราชธานี นายช่างสมัย ถือว่าเป็นช่างเอกของเมืองอุบลอีกคนหนึ่ง ช่างสมัยบอกหลวงพ่อว่าโบสถ์บ้านตำแยนี้ได้แบบมาจากภาคกลางลวดลายประดับเอาแบบมาจากวัดพระแก้วช่างสมัยว่าแบบนั้น เมื่อปั้นรูปปูนปั้นติดตั้งให้กับโบสถ์วัดบ้านตำแยแล้วนั้นช่างสมัยก็ได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครและเสียชีวิตอยู่ที่นั่น
งานปั้นของนายช่างสมัยที่ทำไว้ให้กับวัดบ้านตำแย นอกจากโบสถ์แล้วก็ยังมีพระพักตร์ของพระพรมที่ประดิษฐานอยู่ที่ทิศตะวันตกของวัด
หลวงพ่อเล่าว่าน่าจะเป็นชิ้นสุดท้ายที่นายช่างสมัย จันทร์วิจิตร
ได้ฝากเอาไว้ที่จังหวัดอุบลราชธานี
หลวงพ่อท่านได้เมตตาพาไปชมภายในโบสถ์เมื่อเข้าไปภายในก็ได้พบกับพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานประจำโบสถ์ปางมารวิชัย พระพุทธรูปดังกล่าวงดงามมากผมคิดว่าน่าจะทำมาจากสำริด หลวงพ่อท่านเล่าว่าพระประธานองค์นี้ นายทิม ภูริพัฒน์
ซึ่งเป็นพ่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานีในสมัยก่อนนำมาถวายให้กับทางวัด ท่านเล่าเพิ่มเติมว่า ที่จริงนายทิม ภูริพัฒน์
ได้ถวายพระพุทธรูปให้กับวัดจำนวน
๒ รูป รูปที่
๑ ประดิษฐ์ฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญไม้หลังเก่าปัจจุบันศาลาได้ถูกปิดแล้วไม่ได้ใช้งานเนื่องจากศาลาไม้ชำรุดทรุดโทรมมาก
พอสร้างโบสถ์หลังนี้เสร็จหลวงพ่อว่าจะอันเชิญมาประดิษฐ์ฐานเป็นพระประธานประจำโบสถ์แต่เพราะพระพุทธรูปปิดทองทั้งองค์ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
นายทิม ภูริพัฒน์ จึงได้ถวายพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งกล่าวคือพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่กำลังกล่าวถึงให้กับวัดและนำมาประดิษฐ์ฐานอยู่ในโบสถ์แห่งนี้ ส่วนพระพุทธรูปองค์ที่ ๑
จึงยังคงประดิษฐ์ฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญหลังเก่าแห่งนั้นเหมือนเดิม(
ในวันสำภาษณ์ข้าพเจ้าผู้สัมภาษณ์ยังไม่ได้เห็นพระประธานองค์ที่ ๑
ดังกล่าว
ตั้งใจว่าจะขออนุญาตหลวงพ่อเข้าไปชมและกราบสักการบูชาสักครั้ง)
ในปี พ.ศ.
๒๕๒๗
วัดบ้านตำแยได้สร้างพระพรม ๔
หน้าตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเพื่อให้ชาวบ้านได้สการะบูชา เท่าที่ข้าพเจ้าทราบจากชาวบ้านทั่วไปต่างล่ำลือว่าพระพรมที่วัดบ้านตำแยนั้นศักดิ์สิทธิ์นัก
ส่วนจะแสดงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบใดอย่างไรก็ไม่ทราบเช่นกัน ท่านใดอยากทราบก็ต้องสการะด้วยตัวท่านเอง และพระพรมนี้ในส่วนใบหน้าที่สี่ทิศก็เป็นฝีมือปั้นของช่างสมัย จันทร์วิจิตร เป็นผู้ปั้นด้วยตนเองดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
การพูดคุยกับหลวงพ่อนั้น ท่านเป็นพระที่น่าเลื่อมใสเป็นยิ่งนัก
ดูภายนอกท่านเป็นพระที่น่าเกรงขามและดูดุรูปหนึ่ง หากเป็นญาติโยมที่ท่านไม่ค่อยคุ้นนั้นท่านก็จะดูเคร่งจริงจังและอาจดูระมัดระวังตัวยิ่งการพูดคุยก็จะดูห้วนสั่นๆถามคำตอบคำแต่เมื่อคุ้นเคยกันท่านก็จะเป็นพระที่คุยสนุก พูดธรรมได้น่าฟังและน่าเลื่อมใสยิ่ง
แม้แต่ผู้สัมภาษณ์เองทีแรกๆก็ต้องใช้ความอดทนเพื่อขอสัมภาษณ์ท่าน บางครั้งผมเองก็รู้สึกมีอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อสนทนากับท่านแต่ก็บอกตัวเองว่า ผมตั้งใจดีตั้งใจช่วยพัฒนาปรับปรุงวัดด้วยความบริสุทธิ์ใจ ท่านต้องสัมผัสได้และต้องเมตตาผมแน่นอน ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เมื่อคุยกับท่านได้สักครู่ดูท่านผ่อนคลายและเริ่มเป็นกันเองมากขึ้นที่นี้แหละเข้ากันได้ดีเป็นปี่ขลุ่ย ด้วยที่ท่านเป็นพระที่มีความรู้เรื่องธรรมะดีรูปหนึ่งและมีความเป็นครูในฐานะที่ท่านได้สอนลูกศิษย์ที่เป็นพระ
เณร ในสมัยที่มาเรียนนักธรรมตรี โท
เอก กับท่าน
ท่านจึงมีความเป็นครูอาจารย์อยู่เต็มเปี่ยม ดังนั้นในการสั่งสอนญาติโยม ท่านจึงเอาความเป็นครูอาจารย์มาสั่งสอนธรรมะแก่ญาติโยม บางครั้งอาจดูดุบ้างก็ไม่น่าแปลก โดยเฉพาะต้อนที่ท่านเทศนาสั่งสอนธรรมะหากญาติโยมไม่ค่อยฟังท่านก็จะดุเอา
ประกอบกับท่านสำเร็จนักธรรมเอกท่านจึงค่อนข้างเป็นพระที่เคร่งวินัยของสงฆ์ รู้ธรรมสั่งสอนธรรม และด้านศาสนพิธีดียิ่ง เมื่อมีพระมาบวชอยู่กับท่าน ท่านจึงสั่งสอนทั้งธรรมะ พระวินัย
และพิธีการของสงฆ์ต่างๆให้อย่างเต็มที่เพื่อให้เป็นพระที่ดีสมเป็นสาวกของพระพุทะเจ้า แต่พระบวชใหม่หรือมาอาศัยอยู่กับท่านกลับมองว่าท่านจู้จี้ร่ำไรเสีย ดังนั้นเมื่อครบกำหนดสึกจึงสึกออกไปโดยไม่ได้อะไรเลย
หรือบางรูปบวชอยู่กับท่านนานก็ไม่ได้ทำตนให้เป็นสงฆ์ที่ดีแต่อย่างใด
กลับมุ่งหาลาภสักการะเพียงอย่างเดียวแต่กระนั้นแม้เพียงมุ่งหาลาภสักการะบูชาเป็นที่ตั้งพระนั้นก็ไม่อาจปฏิบัติได้ตามที่ตั้งใจกลับไม่มีมีความเพียร
เกียจคร้านยิ่งขนาดแม้แต่จะออกบิณฑบาตอันเป็นกิจของสงฆ์ก็ไม่กระทำ
หรือบางรูปบวชนานแต่ไม่อาจท่องบทสวดที่ใช้ในงานศาสนพิธีได้เลยที่สุดก็ไม่สามารถอยู่กับท่านได้จำต้องสึกออกไป
หลวงพ่อท่านได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่านอีกมากโดยเฉพาะเรื่องที่ท่านโดนคนที่มาหลอกลวงท่าน โดยสาเหตุมาจากการก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ในปัจจุบัน ศาลาการเปรียญหลังใหม่นี้ท่านได้ดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่
ปี พ.ศ.
๒๕๔๔
แต่ยังคงก่อสร้างไม่แล้วเสร็จเพราะขาดปัจจัยในการมาก่อสร้างนั้นเอง เกี่ยวกับเรื่องการที่ท่านถูกหลอกลวงนั้นเล่าเพียงบางเหตุเหตุการณ์ดังนี้ ท่านเล่าว่าปัจจุบันนี้มีคนหลอกลวงหากินโดยทางที่ไม่ชอบมาก มาหาท่านหลากหลายรูปแบบมากเช่น
เรื่องที่ ๑ โจรในเครื่องแบบ
เช่นเมื่อครั้งที่มีเหตุการณ์น้ำท่วมชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีได้รับความเดือดร้อนมาก ปรากฏว่าได้มีกลุ่มคนอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ราชการมาในชุดเครื่องแบบนายทหารติดเครื่องยศมาเต็มที่
ขับรถยนต์คันใหญ่มาหาท่านที่วัด
มาบอกท่านว่าเจ้านายของเขาจะเอาเงินมาบริจาคให้กับคนที่เดือดร้อนเพราะน้ำท่วมและรู้ข่าวว่าทางวัดกำลังสร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่จึงอยากจะบริจาคเงินให้กับหลวงพ่อหลวงพ่อยังขาดเงินอีกเท่าใด หลวงพ่อตอบว่าขาดอีกมากอยู่เพราะสร้างศาลาหลังใหญ่
ชายคนนั้นจึงว่าอีกวันสองวันจะมาหาใหม่จะไปแจ้งเจ้านายผู้เป็นเจ้าของเงินก่อน จากนั้นอีก
๒
วันชายในชุดราชการทหารก็มาอีกแล้วมาบอกว่าเจ้านายจะเอาเงินมาช่วยคนถูกน้ำท่วม ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท และจะหักออกมาเพื่อบริจาคให้วัด ๕๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท เพราะตามปกติเวลาบริจาคเงินก็ไม่หมดเจ้านายชอบทำบุญกับวัด แต่ต้องให้หลวงพ่อเตรียมสมุดบัญชีไว้ก่อน หลวงพ่อตอบว่ามีอยู่แต่เป็นสมุดบัญชีวัด ชายคนนั้นก็ว่าไม่เป็นไรเดี่ยวค่อยไปเปิดสมุดบัญชีใหม่แต่ต้องเป็นชื่อของหลวงพ่อเองไม่เป็นของวัดนะเพราะเจ้านายจะโอนเงินเข้าบัญชีของหลวงพ่อเลยคือตั้งใจบริจาคให้หลวงพ่อไปใช้ประโยชน์ได้เลยพรุ่งนี้จะมารับหลวงพ่อไปเปิดบัญชีและรับโอนเงินจากเจ้านายของเขาให้หลวงพ่อเตรียมตัวไว้เพราะเจ้านายจะมาพรุ่งนี้ วันรุ่งขึ้นชายคนในชุดราชการทหารก็มารับหลวงพ่อตามที่ว่าไว้
เมื่อนิมนต์หลวงพ่อขึ้นรถไปที่ธนาคารแถวสี่แยกกิโลศูนย์ ในรถยนต์มีคนอยู่ ๓ คน คือคนที่มาหาหลวงพ่อ คนขับ
และอีกคนที่นั่งข้างหลวงพ่ออีกคนหนึ่ง
ชายที่เคยมาหาหลวงพ่อก็พูดว่าได้คุยกับเจ้านายแล้วเจ้านายบอกว่าต้องให้หลวงพ่อเปิดบัญชีธนาคารแล้วแต่หลวงพ่อต้องเอาเงินให้กับเจ้านายของตนก่อนเพื่อเป็นประกันในการรับเงินจากเจ้านายของตนสัก ๙๐๐,๐๐๐
- ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ก่อน เพราะเมื่อเจ้านายตนโอนเงินเข้าบัญชีหลวงพ่อแล้วจะได้ไม่ต้องหักเงินออก หลวงพ่อมีไหม
หลวงพ่อตอบว่าไม่มีหรอก
มีแต่เงินวัดในบัญชี ๒,๐๐๐ บาท
ชายคนนั้นก็ทำหน้าสงสัยแล้วพูดว่า
อะไรสร้างวัดสร้างศาลาหลังใหญ่ใช้เงินตั้งหลายสิบล้านทำไมไม่มีเงิน หลวงพ่อตอบว่า
เงินที่มาสร้างศาลาก็ใช้สร้างจนหมดแล้วจึงไม่มีเงิน ชายคนนั้นจึงลงจากรถไปคุยโทรศัพท์ข้างล่าง แล้วจากนั้นมาบอกหลวงพ่อว่า งั่นหลวงพ่อต้องไปถอนเงินออกมาก่อน ๑,๐๐๐
บาท เพื่อเอาไปเปิดบัญชีแล้วเอาบัญชีมาให้ตนเอง
เพื่อผมจะแจ้งเลขบัญชีให้เจ้านายทราบจะโอนเงินมาให้แต่จะไม่ขึ้นไปเปิดบัญชีธนาคารกับหลวงพ่อนะจะรอที่รถยนต์ ชายคนนั้นก็เปิดประตูให้หลวงพ่อลงจากรถยนต์
หลวงพ่อจึงขึ้นไปเปิดบัญชีธนาคารกับเจ้าหน้าที่ธนาคารใช้เวลาพอสมควร เมื่อเสร็จแล้วก็จะมาหาชายคนนั้นที่รถ
ปรากฏว่าไม่เห็นรถยนต์คันที่พามาแล้วหายทั้งคนทั้งรถยนต์ จึงรู้ว่าถูกหลอกแน่นอนแล้ว
เรื่องที่ ๒ โจรนายธนาคาร
เรื่องนี้ท่านเล่าว่า
ครั้งหนึ่งมีกลุ่มคนมากันเป็นหมู่คณะประมาณ ๖ – ๘
คน
แต่งกายภูมิฐานน่าเชื่อถือขับรถยนต์มาหาท่านที่วัด ขณะที่ท่านฉันเพลเสร็จแล้วมีชายคนหนึ่งเขามากราบท่านส่วนที่เหลือก็เดินดูธรรมชาติในวัด ชายคนนั้นพูดกับท่านและแจ้งท่านว่าเขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่งเจ้านายของตนมีความประสงค์ที่จะจองกฐินกับวัดเพื่อระดมทุนมาสร้างศาลาการเปรียญหลังนี้ให้แล้วเสร็จ เจ้านายเป็นคนชอบทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลากับวัด
ท่านรู้ว่าทางวัดกำลังสร้างศาลการเปรียญจึงให้ตนมาสอบถามว่าขาดปัจจัยอีกเท่าใด เจ้านายจะระดมทุนมาให้ หลวงพ่อตอบว่ายังขาดอีกมากอยู่ ชายที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารว่า เจ้านายตนเคยระดมเงินทุนช่วยทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา
สร้างพระให้กับวัดได้เงินมากเป็นหลายแสนถึงหลายล้านบาท
เจ้านายจึงอยากให้ตนมาสำรวจสิ่งที่ทางวัดขาดและต้องการ
แล้วบอกว่าอีกวันสองวันจะมาใหม่เพื่อมาสำรวจสิ่งที่ทางวัดต้องการ
หลวงพ่อท่านจึงตอบว่าอนุโมทนาด้วยสิ่งใดดีแล้วก็ให้ทำได้เลย
จากนั้นอีกสองวันชายคนดังกล่าวก็มาที่วัดพาหลวงพ่อเดินสำรวจศาลาการเปรียญที่กำลังสร้างจดรายการลงสมุดบันทึกหลายรายการเมื่อเสร็จแล้วก็ลาหลวงพ่อแล้วกลับไปแจ้งว่าเอารายการไปให้เจ้านายดูแล้วจะมาบอกหลวงพ่ออีกในวันหลัง ต่อมาอีกวันหนึ่งชายคนนั้นก็มาหาหลวงพ่อแล้วแจ้งว่า เจ้านายของตนสามารถระดมทุนมาได้ ๕๐๐,๐๐๐
บาท
แต่มีข้อแม้ว่าเจ้านายของตนประสงค์ที่จะถวายวัดเพียง ๓๐๐,๐๐๐
บาท ส่วนที่เหลือ ๒๐๐,๐๐๐
บาท
เจ้านายของตนจะเอาไปทำบุญที่วัดอื่น
แต่ขอให้หลวงพ่อประกาศว่าทอดกฐินได้เงิน
๕๐๐,๐๐๐ บาท หลวงพ่อเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงตอบว่า
หากให้หลวงพ่อทำตามที่ว่าก็จะมีปัญหากับหวงพ่อเพราะหลวงพ่อประกาศว่าได้เงินทอดกฐินได้เงิน ๕๐๐,๐๐๐
บาท
แต่กรรมการนับเงินได้เพียง
๓๐๐,๐๐๐ บาท เงินหายไป
๒๐๐,๐๐๐ บาท กรรมการหรือชาวบ้านก็จะว่าหลวงพ่อโกงเงินวัดได้ไม่ถูกต้อง หากทอดกฐินได้เงิน ๕๐๐,๐๐๐
บาท ต้องมีเงิน ๕๐๐,๐๐๐
บาทจริงจึงจะถูกต้องจะให้ทำตามที่ว่าไม่ได้
ชายคนนั้นจึงว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรก็ทำกันลับๆก็ได้และหลวงพ่อก็จะได้เงินสร้างศาลาตั้ง ๓๐๐,๐๐๐
บาท
น่าจะเอาตามที่เจ้านายตนว่า
หลวงพ่อตอบว่ามันไม่ถูกต้องทำไม่ได้หากจะให้หลวงพ่อทำอย่างที่เจ้านายคนนั้นว่าก็จะถูกชาวบ้านต่อว่าได้เป็นความผิด หากไม่สะดวกที่จะทอดกฐินกับทางวัดก็ไม่เป็นไร
ชายที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็พูดว่าหลวงพ่อน่าจะรับเงื่อนไขตามที่เจ้านายตนว่าจะดีต่อวัดด้วยเงินตั้ง ๓๐๐,๐๐๐
บาทไม่น้อยเลย หลวงพ่อตอบว่ามันไม่ถูกต้องทำไม่ได้และยืนยันว่าไม่ทำตามที่เจ้านายของชายคนนั้นขอ
เมื่อหลวงพ่อยืนยันขัดเจนอย่างนี้ชายคนนั้นก็เลยต้องลาหลวงพ่อไป หลวงพ่อได้ยินชายคนนั้นพูดมาพอได้ยินว่า หลวงพ่อไม่ฉลาดเอาเสียเลยเงินตั้ง ๓๐๐,๐๐๐
บาท จะเอามาให้ก็ไม่เอา....เป็นไปเสียอย่างนั้นเสียอีกคนเรา........
เรื่องที่ ๓
โจรพระใบ้หวย
เรื่องนี้ท่านเล่าว่า
ครั้งหนึ่งในช่วงบ่ายขณะที่ท่านกำลังกวาดลานวัดอยู่ปรากฏว่าได้มีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาหาท่านแล้วพูดคุยกับท่านแล้วเล่าว่า ขอมาอาศัยอยู่กับท่านชั่วคราวเพื่อหลบหนีผู้คน หลวงพ่อถามว่าทำไมต้องหนี
พระรูปนั้นบอกว่าเพราะตนถูกรบกวนจนไม่สามารถปฏิบัติได้สาเหตุเพราะให้หวยชาวบ้านและถูกมาหลายงวดผู้คนก็มาหาตลอดจนวุ่นวายไปหมดจึงมาหาหลวงพ่อที่นี่เพื่อขออาศัยอยู่ชั่วคราว หลวงพ่อก็บอกว่าเป็นธรรมดาหากจะมาอาศัยอยู่ก็ได้อนุญาต
ขณะที่ท่านกำลังคุยกันนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งขับรถยนต์มาในวัดแล้วเห็นหลวงพ่อกับพระรูปนั้นจึงเดินตรงเข้ามาหา พอชายคนนั้นเดินมาใกล้ๆพระรูปนั้นจึงพูดว่า อ้าวเสี่ยมาทำไมที่นี้ ชายคนนั้นก็พูดว่ามาหาซื้อหวยมาจนถึงอุบลเพราะที่อื่นไม่รับ พระรูปนั้นจึงถามว่าซื้อเลขอะไร
ชายคนนั้นจึงตอบว่าก็เลขที่หลวงพ่อให้มานั้นแหละเจ้ามือไม่รับเลขของหลวงพ่อ
จึงต้องเดินทางมาซื้อถึงที่อุบลไม่เชื่อว่าจะได้เจอหลวงพ่อที่นี่ พระรูปนั้นจึงถามว่าซื้อได้ไหม เสี่ยคนนั้นตอบว่าซื้อได้ไม่มากได้แค่ ๕-๖
พันบาทเอง เตรียมเงินตั้งหลายหมื่นเดี่ยวพรุ่งนี้ต้องไปหาที่ซื้ออีกพระรูปนั้นก็บอกว่าหลวงพ่อสร้างศาลาหลังใหญ่ต้องใช้ปัจจัยมากจะช่วย หลวงพ่อว่าใช่อยู่ยังขาดปัจจัยอีกมาก
พอรุ่งขึ้นฉันเช้าเสร็จในช่วงสายเกือบจะถึงเวลาเพลแล้ว ชายคนนั้นที่อ้างว่าเป็นเสี่ยก็ขับรถมาที่วัดแล้วนิมนต์หลวงพ่อกับพระรูปนั้นไปด้วยอ้างว่าจะไปเอาเงินมาช่วยหลวงพ่อสร้างศาลา แต่ต้องให้หลวงพ่อไปด้วย
หลวงพ่อตอบว่าเดี่ยวฉันเพลเสร็จก่อนแล้วค่อยไป ชายคนนั้นบอกว่าไม่ได้ต้องไปเลยทั้งพระและเสี่ยคนนั้นว่าอย่างนั้น หลวงพ่อก็แปลกๆในใจอยู่แต่ที่สุดก็ไปเพราะในใจก็คิดว่าจะได้มีเงินมาสร้างศาลาให้เสร็จหรือได้มากกว่านี้ พอขึ้นไปบนรถพร้อมกับพระรูปนั้น เสี่ยคนนั้นขับรถไปในเมืองขณะนั่งอยู่ในรถ พระรูปนั้นก็พูดว่าหลวงพ่อจะเอาเท่าไหร่ หลวงพ่อก็ไม่เข้าใจว่าเอาอะไรจึงถามว่าเอาอะไร พระรูปนั้นจึงว่าเงินนะจะเอาเท่าไหร่ หลวงพ่อจึงว่าแล้วแต่จะถวาย ชายที่อ้างว่าเป็นเสี่ยจึงว่า ที่ว่าจะเอาเงินเท่าไหร่ก็คือหลวงพ่อเอาเงินจากการถูกหวยกี่บาท เพราะหวยเลขสามตัวหากถูกก็จะได้หลายหมื่นหลายแสนบาทเลยนะ แล้วหลวงพ่อสร้างศาลาหลังใหญ่ต้องใช้เงินมากหลวงพ่อจะเอาเงินเท่าไหร่หลวงพ่อต้องเอาเงินมาซื้อหวยมากเท่านั้น ซื้อมากเมื่อถูกก็ได้มากนะครับ ศาลาของหลวงพ่อต้องใช้เงินอีกหลายล้าน
หลวงพ่อต้องเอาเงินมาซื้ออย่างน้อยก็ต้องหลายหมื่นบาทแล้วหลวงพ่อเอาเงินมาซื้อหวยกี่บาท หลวงพ่อก็ตอบว่าไม่มีเงินหรอกมีติดตัวแค่ ๒๐
บาท
พระรูปนั้นก็พูดว่าพระอะไรสร้างศาลาหลังอย่างใหญ่ทำไมไม่มีเงินแค่เงินไม่กี่บาทก็ไม่มี
หลวงพ่อก็ตอบว่าเป็นพระไม่มีเงินที่สร้างศาลาก็เป็นเงินของญาติโยม หลวงพ่อไม่มี เสี่ยคนนั้นจึงพูดว่าเมื่อหลวงพ่อไม่มีเงินก็ไม่สามารถซื้อหวยได้ไปถึงที่ซื้อก็ไม่มีประโยชน์ จึงจอดรถให้หลวงพ่อลงแถวๆวัดทองนพคุณ ในตัวเมืองอุบลนั้นเอง แล้วขับรถไปกับพระรูปนั้น
หลวงพ่อคิดว่าโดนหลอกอีกแล้วโชคดีที่มันไม่ทำร้ายเอา เป็นเรื่องบางส่วนที่ท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง
ในวันที่ผมสัมภาษณ์ท่านนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๕
มีนาคม ๒๕๕๙ เวลาประมาณ
๑๔.๐๐ น.เศษ หลังจากที่คุยกับท่านหลายเรื่อง ท่านยังได้เมตตาสั่งสอนธรรมเรื่อง
โลกธรรมแปดให้ผมฟัง สรุปใจความได้ว่า โลกธรรมแปดเป็นพระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนว่าเป็นธรรมะคู่โลก ไม่อาจเอาออกไปจากโลกได้ทุกสรรพสัตว์ต้องเผชิญต้องเจอะเจอจนกว่าจะได้เป็นอรหันต์หรือนิพพานจึงจะพ้นไปได้ โลกธรรมแปดประกอบไปด้วย มีสุข
ก็ต้องมีทุกข์ มีลาภ ก็มีเสื่อมลาภ มียศ
ก็ต้องมีเสื่อมยศ มีสรรเสริญ ก็มีนินทา
ดังนี้เรียกว่าโลกธรรมแปด
หากรู้เท่าทันธรรมข้อนี้ก็จะสามารถประคองชีวิตให้ดำเนินต่อไปได้อย่างมีสติไม่หลงมัวเมากับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต
สาเหตุที่มนุษย์ทุกวันนี้วุ่นวายสับสนอย่างที่สุดก็เพราะมนุษย์หลงลืมธรรมะข้อนี้ไปนั้นเอง
สรุปใจความได้เพียงนี้ข้าพเจ้าก็เป็นกุศลยิ่งแล้ว
จบสัมภาษณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น